Click to Play Game ..........
http://www.dmc.tv/forum/index.php?act=attach&type=post&id=20666
http://www.dmc.tv/forum/index.php?act=attach&type=post&id=20849
http://www.dmc.tv/forum/index.php?act=attach&type=post&id=22180
http://www.dmc.tv/forum/index.php?act=attach&type=post&id=22850
วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551
For Fun in Game
เขียนโดย chalalai ที่ 12/02/2551 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: game games เกมส์ เกม
วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551
What is dmc ??
From the first day we were born until the last moment of our life, we are faced with happiness and miseries. Based on Lord Buddha’s teachings, both the former and the latter is the result of our bad and good deeds from our past lives and our actions dictate the cycle of reincarnation. Have you ever wonder what is the path to end the cycle of reincarnation and the way to eternal happiness? DMC has the answer!!! DMC is a Buddhist satellite television and a white channel, ethic channel. It broadcasts, for 24 hours a day, media programs based on Buddhist teachings.DMC programs are suitable for all viewers regardless of age, gender, religion, race, nationality, and sexual orentation. DMC’s various shows include: Dhamma music, motion pictures, and documentaries. DMC also broadcasts live its most famous program: the Dream Kindergarten School from Monday to Saturday evening starting at 7.00 PM (Thai Time, GMT +7). This program, which is led by The Most Venerable Prarajbhavanvisuth, Dhammajayo Bhikkhu, also known as Kru-Mai-Yai, will help us understand the true meaning of life. All the shows will bring you peace and inner happiness into your life.
เขียนโดย chalalai ที่ 10/30/2551 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: dmc buddhist
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551
ก้าวไปตามใจฝัน
ก้าวไปตามใจฝัน .....ค้นหาเป้าหมายในชีวิตและเป้าหมายในการทำงานของคุณ
โดย ANDREW MATTHEWS
ก้าวไปตามใจฝัน!
ภารกิจในชีวิต
มิใช่การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ
แต่คือการเกิดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ
กับสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตต่างหาก
ยกตัวอย่างของบางส่วนในหนังสือเล่มนี้ ...
จิมมีบริษัทประกันขนาดเล็กแห่งหนึ่งและมีลูกจ้างหนึ่งคน แต่เขากำลังจะไล่เธอออก
จิมบอกว่า “ถ้าผมมีพนักงานดี ๆ สักสิบสองคนละก็..”
ไม่หรอกครับจิม ทีมงานสิบสองคนไม่มีทางไปได้สวยเลย ถ้าหากคุณไม่สามารถรักษาทีมงานสองคนนี้ไว้ได้
คำนิยาม
โลกเรานี้ให้รางวัลแก่คนที่พยายามและลงมือทำ ไม่ใช่คนที่คอยแต่จะหาคำแก้ตัว
เราอาศัยอยู่ในโลกที่ทุกสรรพสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ฤดูกาลผันเวียนเปลี่ยนไป น้ำขึ้นแล้วก็ลง เงินเฟ้อแล้วก็ฝืด คนได้งานทำแล้วก็ตกงาน คุณอาจคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเข้าถึงกฎพื้นฐานของโลกเราในเรื่องความไม่เที่ยงแท้ เปล่าเลยครับ โดยมากเมื่อเกิดความไม่แน่นอนขึ้น เรามักฉุนเฉียวมากกว่าที่จะนึกถึงกฎแห่งความไม่เที่ยงนี้
สิ่งที่เป็นจริงในวันนี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นจริงในวันพรุ่งนี้ สิ่งที่ใช้ได้ผลในวันนี้อาจใช้ไม่ได้ผลในวันหน้า แต่สิ่งที่แน่นอนที่เรามีคือความไม่แน่นอน หากคุณจากบ้านไปสักสามเดือน พอได้กลับบ้านอีกครั้งคุณจะพบว่าลูกของคุณเปลี่ยนไป ลูกน้อยของคุณสามารถเรียกคุณว่า “พ่อ” ได้แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องมาถกเถียงกันว่ายุติธรรมหรือไม่ เพราะทุกสรรพสิ่งเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
คนที่มีความสุขนั้นไม่เพียงแต่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง พวกเขาน้อมรับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นด้วยความยินดี คนที่มีความสุขคือคนที่พูดว่า “ฉันอยากให้ห้าปีข้างหน้าเหมือนห้าปีที่ผ่านมาทำไมกัน”
******************************************
เราสามารถเรียนรู้เรื่องความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับข้อจำกัดของตัวเองได้จากกการศึกษาดูปลา
ขั้นแรกหาตู้ปลามาสักตู้ หากำแพงกระจำมาแบ่งตู้ปลาออกเป็นสองซีก คุณจะได้ตู้ปลาแฝด ต่อไปให้หาปลาสากมาหนึ่งตัว เราจะเรียกปลาตัวนี้ว่าแบร์รี และหาปลากระบอกมาหนึ่งตัว (ปลาสากกินปลากระบอก) หย่อนปลาทั้งสองลงในตู้ปลาข้างละตัว แบร์รีจะพุ่งเข้าหาเจ้าปลากระบอกราวกับสายฟ้าแลบ แล้วมันก็ชนกำแพงกระจกเข้าโครมใหญ่ แบร์รีจะว่ายน้ำกลับมาตั้งต้นใหม่และลองพุ่งดูอีกครั้ง และก็ชนกระจำเหมือนเดิม
หลายสัปดาห์ผ่านไป จมูกของแบร์รีบวมเป่ง ในที่สุดมันจะคิดได้ว่าการล่าเจ้าปลากระบอกเท่ากับการทำให้ตัวเองเจ็บ และจะเลิกตามรังควาญปลากระบอก จากนั้นให้คุณเอากำแพงกระจกออก ลองเดาดูซิครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น ปลาแบร์รีจะว่ายอยู่แต่ในซีกของตัวเองไปตลอดชีวิต มันยอมอดตายดีกว่าจะต้องเจ็บตัว แม้ปลากระบอกจะว่ายน้ำห่างมันไปแค่ไม่กี่นิ้วเท่านั้นเอง แบร์รีรู้ขีดจำกัดของตัวเองและไม่ยอมก้าวข้ามขีดจำกัด
เรื่องปลาแบร์รีนี้น่าเวทนาไหมครับ ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องของมนุษย์เราทุกคน เราไม่ได้วิ่งไปชนกำแพงกระจก แต่เราวิ่งไปชนคุณครู พ่อแม่ และเพื่อน ๆ ที่คอยบอกเราว่า ตรงไหนเหมาะกับเราและอะไรที่เราทำได้ และที่แย่ที่สุดคือ เราวิ่งไปชนกับความเชื่อของตัวเอง ความเชื่อที่ขีดวงจำกัดตัวเรา เราเถียงแก้ตัวให้กับความเชื่อเหล่านั้นและไม่ยอมก้าวออกจากวงจำกัด
ปลาแบร์รีบอกว่า “ฉันลองทำอย่างดีที่สุดไปแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะว่ายเวียนวนอยู่แต่ในอาณาเขตของฉันเองดีกว่า” เช่นเดียวกับแบร์รี เรามักพูดว่า “ฉันได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้วสำหรับการเรียน ชีวิตแต่งงาน การงาน...”
เราสร้างกรงแก้วของเราขึ้นมาเอง และคิดไปว่านั่นคือความจริง ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งที่เราปักใจเชื่อ
******************************************
เมื่อเราเติบโตขึ้น คุณครู พ่อแม่ และเพื่อน ๆ ต่างพูดกับเราว่า “หัวขี้เลื่อยอย่างเธอเรียนเลขไม่ไหวหรอก นายร้องเพลงอย่างกับเสียงตกร่อง คุณวาดรูปหากินไม่ได้หรอก” แล้วเราก็เชื่อและดำเนินชีวิตไปตามนั้น พวกเขาบอกว่า “ชีวิตมันลำเค็ญ คุณจะหมดตัวอีกแน่ ๆ แล้วก็โทษรัฐบาล... นี่เป็นบทของคุณ ใช้ชีวิตตามนี้สิ!” และเราก็เดินไปตามเส้นทางนั้น แม้ว่ามันจะทำลายชีวิตของเราก็ตาม
ลองแนะเฟรดให้ “เลิกเชื่อ” บางอย่างที่เขายอมรับมากกว่าสี่สิบปี จู่ ๆ คุณจะให้ผมเลิกเชื่อในสิ่งที่ผมเคยเชื่อ และยอมรับว่าเป็ฯตัวผมเองที่ทำให้ชีวิตตัวเองยุ่งเหยิงอย่างนั้นรึ”
คนส่วนใหญ่อยากจะเป็นคนถูกมากกว่าเป็นคนมีความสุขครับ
******************************************
คุณเคยเห็นเคยได้ยิน เรื่องราว เหล่านี้ได้หรือเปล่าครับ
“ฉันเป็นคนที่มีความสำคัญมาก ดังนั้น คนทุกคนต้องทำดีกับฉัน” คนบางคนยืนกรานว่าคนอื่น ๆ ต้องรู้จักพวกเขา รู้ว่าเขาร่ำรวยเพียงไหน และได้รับการศึกษามามากเพียงใด เมื่อใดก็ตามที่คุณเรียกร้องให้ใครต่อใครคิดว่าคุณมีความสำคัญ เมื่อนั้นคุณจะทุกข์ใจเพราะคุณเอาความสุขของตนเองไปแขวนกับผู้อื่น ลืมเรื่อง “เป็นคนสำคัญ” เถอะครับ เพราะมันทำให้เครียดเกินไป เมื่อคุณไม่ได้คิดว่าตัวเองต้องเป็น “คนสำคัญ” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย ยิ่งคุณไม่เรียกร้องความชื่นชมจากผู้อื่นมากเท่าใด คุณก็จะได้ความชื่นชอบจากผู้อื่นมากขึ้น
ความเชื่อกับการใช้ชีวิต
การจะมีชีวิตที่ดีได้นั้นคุณต้องทำชีวิตให้ดีเสียก่อน คุณจะรู้สึกเหมือนกับนักเต้นฝีเท้าไฟได้อย่างไร ถ้าคุณใส่ชุดชั้นในมีรูโหว่ เฟรดบอกว่า “ใส่ขาสั้นเป็นรูก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครเห็นนี่” แต่นั่นคือสิ่งสำคัญ เพราะตัวคุณเองรู้ว่า กางเกงมีรูและร่างกายของคุณก็รู้สึกถึงเจ้ารูนั้น คุณเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ตัวคุณเองรู้สึกพิเศษได้ ถ้าตัวคุณไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง ใครที่ไหนก็ทำให้คุณภูมิใจในตัวเองไม่ได้หรอกครับ
บ้านที่เราอาศัยอยู่นั้นก็มีผลต่อความรู้สึกของเราด้วย ลองตกแต่งมุมหนึ่งของบ้านที่น่าจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่นเมื่อคุณก้าวเข้าประตูบ้านไป หรือจัดแต่งบ้านให้เข้ากับลักษณะนิสัยของคุณ ลองตกลงกับเจ้าของที่พัก ขอให้เขาออกค่าสีแล้วคุณจะทาสีห้องพักให้เขา
การรักษาความสะอาดและความมีระเบียบนั้นไม่ได้ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมากมายเลย การอาศัยในที่พักซึ่งมีห้องนอนเดี่ยวที่สะอาด ดีกว่าการอยู่ในคฤหาสน์แต่รกรุงรังเป็นไหน ๆ มีคนถามจูลีภรรยาของผมว่า “ถ้ามีงบแต่งบ้านอยู่ห้าสิบบาท จะซื้ออะไรดีคะ” เธอตอบว่า “ซื้อไม้กวาดสักด้ามสิคะ”
ยอดบัญชีเงินฝากในธนาคารของคุณไม่ใช่เครื่องวัดความร่ำรวย ความมั่งมีคือสิ่งที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาในชีวิตของคุณ ความมั่งคั่งคือการไหลเวียนของการให้และรับ หากคุณมีเงินฝากที่ธนาคารสวิสและคุณไม่ได้ใช้มันเลย เงินฝากนั้นก็ไม่ได้ทำให้คุณร่ำรวยขึ้น ตามหลักการแล้วเงินนั้นเป็นของคุณ แต่ในความเป็นจริงคุณไม่ได้ “รับ” อะไรจากเงินนั้เลย เงินนั้นไม่ได้ทำให้คุณสมบูรณ์พูนสุขขึ้น และอาจจะพูดได้ว่าเงินนั้นเป็นของคนอื่น ดังนั้น สำหรับเรื่องคนแก่ขี้เหนียว คนแก่คนนั้นก็ไม่ได้ถือว่าร่ำรวยอะไรไล เพราะเขาไม่เคยได้ให้ ไม่เคยได้ใช้ ไม่เคยได้รับ
คำนิยาม
เคล็ดลับของการให้คือ ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ถ้าคุณคาดว่าจะได้รับสิ่งตอบแทน นั่นแสดงว่าคุณกำลังไปยึดติดกับผลที่ตามมา และเมื่อคุณยึดติดเช่นนั้น สิ่งที่คาดหวังจะบังเกิดผลน้อยลง
แล้วคุณควรจะสุขสำราญกับทรัพย์สมบัติที่คุณเป็นเจ้าของหรือไม่ ควรครับ คุณควรแน่ใจว่าคุณเป็นเจ้าของมัน และอย่าปล่อยให้มันเป็นเจ้าของคุณ
การยึดติดและการเกลียด
“เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ หากเราไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นก่อน” คาร์ล จุง
การเกลียดสิ่งใดก็ตามเป็นความคิดที่ไม่ให้ประโยชน์เลย เวลาที่คุณเกลียดอะไร สิ่งนั้นจะยังคงติดค้างอยู่ในใจคุณ
ตัวอย่าง สมมติว่าคุณเป็นหนี้และคุณเกลียดการเป็นหนี้ นั่นไม่ช่วยให้สถานการณ์ทางการเงินของคุณดีขึ้นหรอกครับ คุณใช้พลังมากมายไปกับการเกลียด และคุณก็ยังจมปลักอยู่กับการเป็นหนี้ แล้วคุณก็หมดแรง แต่ถ้าคุณยอมรับความเป็นหนี้ และเป็นอิสระจากอารมณ์อันวุ่นวาย คุณจะมีโอกาสหลุดออกจากการเป็นหนี้ได้ การยอมรับไม่ได้หมายความว่า “ยอมแพ้” การยอมรับ หมายความว่าคุณเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และรู้ว่าคุณควรทำอย่างไร
งานที่สมบูรณ์แบบ
ถ้าคุณไม่ชอบงานที่ทำอยู่ คุณมีทางเลือกอยู่สองทางคือ เปลี่ยนทัศนคติของตัวเองหรือไม่ก็เปลี่ยนงาน ครับ
ความจริงแล้วคนเราไม่ได้ชอบงานง่าย ๆ หรอกครับ แม้เราจะชอบฝันกลางวันว่า "ถ้างานง่ายขึ้นสักนิด ฉันจะมีความสุขมากกว่านี้แน่" แต่พองานเริ่มง่ายเข้าจริง ๆ เรามักจะเปลี่ยนงาน มนุษย์เรานั้นคลั่งไคล้ความท้าทายมากเสียจนมักดิ้นรนหาสิ่งที่ท้าทายใหม่ ๆ ทำ แม้กระทั่งในยามว่าง
คนส่วนใหญ่มักแบ่งช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตว่า เป็นช่วงเวลา "งาน" หรือช่วงเวลา "เล่นหรือพักผ่อน" การมองแบบนั้นทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า "เฮ่อ! ขอไปทำงานก่อนนะ ฉันต้องทนทรมานถึงห้าโมงเย็นแน่ะ" แทนที่จะไปคิดว่าตอนนี้เป็น "งาน" หรือตอนนี้เป็น "การพักผ่อน" ลองคิดใหม่ว่ากิจกรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็น ทั้งชีวิตของคุณ การจะรักงานสักงานนั้นเหมือนกับการรักใครสักคน ในตอนแรกรักเราอาจคลั่งไคล้ใหลหลงในเสน่หา แต่ "การรักกันให้ยืนยาว" นั้น เราเป็นคนกำหนดเองครับ
จงทำให้ดีที่สุด
"ศักดิ์ศรีในการทำงานจะเกิดขึ้นได้ เมื่อผู้ทำงานยอมรับงานนั้นอย่างแท้จริง" อัลแบร์ กามูส์
คนที่สนุกสนานกับการทำงานจะตื่นมาพร้อมกับบอกตัวเองว่า "วันนี้ฉันจะทำงานให้มีประสิทธิภาพและใส่ใจมากกว่าเมื่อวานนี้" พวกเขาอาจไม่ประสบความสำเร็จทุกครั้ง แต่มันเป็นความตั้งใจของเขา
งานกับคน
น่าเสียดายที่ว่า "การให้บริการผู้อื่น" ฟังดูคล้ายกับการเป็นทาสหรือการเสียสละ ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น การให้บริการเป็นเพียงการรู้ว่า เมื่อคุณมอบบางอย่างซึ่งเป็นของคุณเพียงคนเดียวให้แก่คนอื่น คุณจะรู้สึกมีความสุขอยู่ลึก ๆ "การให้บริการ" อาจเป็นการสอนหรือการดูแลผู้อื่น อาจเป็นการขายดอกไม้ที่สวยงาม หรือเป็นการซ่อมหม้อน้ำรถด้วยรอยยิ้ม จะเป็นงานอะไรนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือปรัชญาในการทำงานของคุณต่างหาก
สังคมเรามักรับคนเข้าทำงานโดยประเมินจากระดับการศึกษา ผมว่าเรากำลังเข้าใจผิดกันไปหมด สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคุณสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้คนได้หรือไม่ต่างหาก
ถ้าฉันเริ่มทำสิ่งที่ฉันรักแล้วฉันจะมีปัญหาน้อยลงไหม
ไม่ครับ! ภารกิจในชีวิต มิใช่การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากอุปสรรคใด ๆ แต่คือการเกิดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตต่างหาก!
คำนิยาม
การทำในสิ่งที่คุณรักนั้น มิใช่สูตรสำเร็จสู่ชีวิตที่ง่ายกว่า แต่เป็นเคล็ดลับที่นำไปสู่ชีวิตที่เร้าใจกว่า โดยมากแล้วคุณจะต้องรับผิดชอบมากขึ้น และอาจมีปัญหาให้แก้มากขึ้นด้วย!
ความปรารถนาอันแรงกล้า
เมื่อคุณใส่ใจกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ความกระตือรืนร้นนั้นจะช่วยผลักดันให้คุณทำสำเร็จ
การทำตามความฝันของคุณไม่ได้รับประกันว่าอะไร ๆจะเป็นไปได้อย่างราบรื่น ชีวิตมักจะพบกับความท้าทายมากขึ้น และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของชีวิต ที่นำไปสู่การค้นหาสิ่งซึ่งอยู่ภายในจิตใจคุณเอง คุณมีโอกาสที่จะรุ่งโรจน์ และได้พบว่าตัวคุณที่แท้จริงนั้นเป็นใคร
จงมีจุดยืนเป็นของตัวเอง
"หากคุณรู้สึกว่าชีวิตคุณกำลังพังพินาศลง บางทีคุณอาจจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ" ชินหนิงชู
การทำตามที่หัวใจเรียกร้องนั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นคน อ่อนแอ โลกนี้เป็นที่สำหรับผู้แข็งแกร่ง และกฎธรรมชาตินั้นไม่ปรานีใคร แกะที่อ่อนแอจะถูกสุนัขจิ้งจอกล่าไปกิน คนที่อ่อนแอก็จะถูกกินเช่นกัน เมื่อคุณอ่อนแอ สุนัขจิ้งจอกจะมองว่าคุณเป็นของหมู ๆ คุณจะถูกทำร้ายและกลายเป็นเป้าโจมตีเสมอ ลองดูเรื่องต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง
วันหนึ่งกบตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่ริมแม่น้ำ มีแมงป่องตัวหนึ่งคลานผ่านมาและทักว่า "คุณกบ ผมอยากจะข้ามแม่น้ำนี้ แต่ผมเป็นแมงป่อง ผมว่ายน้ำไม่เป็น คุณจะกรุณาให้ผมขี่หลังคุณว่ายข้ามไปหน่อยได้ไหม"
เจ้ากบตอบว่า "แต่คุณเป็นแมงป่อง และ แมงป่องต่อยกบนี่!"
แมงป่องตอบว่า "ผมจะไปต่อยคุณทำไม ผมอยากไปฝั่งตรงข้ามนั่น"
"ตกลง" กบบอก "ไต่ขึ้นหลังผม แล้วผมจะพาคุณข้ามไป"
กบว่ายพาแมงป่องไปได้แค่ครึ่งทาง แล้วแมงป่องก็ต่อยเจ้ากบ เจ้ากบเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส มันกัดฟันถามก่อนสิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้ายว่า
"คุณ.. ทำ.. อย่างนี้ทำไม ตอนนี้.. เราจมน้ำตายทั้งคู่แน่ ๆ"
"เพราะว่า" แมงป่องตอบ "ผมเป็นแมงป่อง และแมงป่องต่อยกบนี่"
จงระมัดระวังแมงป่องไว้ให้ดี มีคนรอบข้างเราซึ่งไม่รังเกียจที่จะจมน้ำตาย ถ้าพวกเขาสามารถลากคุณจมไปด้วยได้
คนบางคนนั้นหากเลี่ยงได้จงเลี่ยงเสีย บางครั้งคุณอาจต้องยืนขึ้นและต่อสู้บ้าง คุณอาจสงสัยว่าแล้วตอนไหนที่คุณต้องยืนหยัดต่อสู้ ให้คุณถามตัวเองว่า "อะไรที่ฉันรู้สึกว่าเป็นธรรม" แล้วก็ยึดมั่นในจุดยืนนั้น โดยไม่ต้องคำนึงว่าคนอื่นจะชอบคุณหรือคิดว่าคุณดีหรือไม่ก็ตาม
คุณอาจเคยพยายามทำให้คนอื่นชื่นชอบหรือเห็นด้วยกับคุณ จนตัวคุณเองอ่อนล้า แต่จนแล้วจนรอด พวกเขาก็ยังไม่ชอบคุณอยู่ดี และคุณก็ไม่รู้ตัวว่า ตัวตนที่แท้จริงของคุณนั้นเป็นอย่างไร
ในที่สุดคุณสามารถเชื่อได้ก็แต่เพียงเสียงนำทางจากภายในใจคุณเท่านั้น อีกนัยหนึ่งก็คือ จงทำตามที่หัวใจคุณเรียกร้อง
ลองสิ่งใหม่ ๆ
ถ้าคุณทำแต่สิ่งที่คุณเคยทำเสมอ ๆ คุณก็จะได้แต่สิ่งที่คุณเคยได้เสมอ ๆ
การถามตัวเองว่า "สิ่งเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้คืออะไร" นั้นไม่ใช่วิธีการคิดในแง่ลบ และยังเป็นวิธีที่ใช้วัดความมุ่งมั่นของตัวคุณเอง ลองแจกแจงความกลัวที่แอบแฝงอยู่ในใจและในสมองคุณออกเป็นข้อ ๆ เพื่อดูว่าคุณจะสามารถรับมือกับสิ่งไม่พึงปรารถนาที่อาจเกิดขึ้นไหวไหม แล้วการเสี่ยงนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่น่าสนุก น่าลองทำมากขึ้น
เคล็ดลับขุมพลัง
-
จงอยู่กับปัจจุบัน
-
การบังคับนั้นไม่เคยได้ผล
-
ใจเย็น
-
อย่าเกลียดคู่ปรับของคุณ
-
ถ้าคุณคิดว่าโลกนี้ต่อต้านคุณ โลกจะหันหลังให้คุณจริง ๆ
-
การเล่นได้อย่างเยี่ยมยอดมีรากฐานมาจากความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
-
ในการเล่นกีฬาและการใช้ชีวิตนั้น คุณต้องรวมพลังมุ่งมั่นในสิ่งที่คุณปรารถนา
โลกนี้ช่างวุ่นวายสับสน
บางทีการทุกข์ร้อนกับสถานการณ์นั้นอาจจะดูมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง แต่การไปวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ไกลตัวเรา และเราไม่เข้าใจเรื่องราวดีพอนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากคุณต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเราไม่เข้าใจเรื่องราวดีพอนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากคุณต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยเหลือนั้น นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เหตุใดเราจึงควรเรียนรู้ที่จะควบคุมความคิดของตนเอง
มีเหตุผลอยู่สองประการว่า เพราะอะไรคุณจึงควรเรียนรู้ที่จะควบคุมความคิดของตนเอง นั่นคือ
* คุณไม่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นลมฟ้าอากาศ หรือความคิดเห็นของคนอื่นเกี่ยวกับตัวคุณ สิ่งเดียวที่คุณสามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่ และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนั้นคือ ความคิดของตัวคุณเอง
* สิ่งของนอกกายมิได้ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริง
ความสงบหมายถึง การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังแทนที่จะไปต่อสู้กับพลังนั้น
ความสงบหมายถึง การมองเห็นภาพรวมและไม่ไปยึดติดอยู่กับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ
การทำใจให้สงบได้นั้นส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการมองโลกในแง่ดี อีกส่วนเป็นเรื่องของการฝึกคลายเครียดทางใจให้เป็นกิจวัตร
เขียนโดย chalalai ที่ 8/03/2551 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ชีวิต ทำงาน เป้าหมาย ฝัน
วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2551
ประเภทของนิมิต และวิธีการภาวนา
ประเภทของนิมิต
1. บริกรรมนิมิต คือนิมิตขั้นเตรียมหรือเริ่มต้น ได้แก่สิ่งใดก็ตามที่กำหนดเป็นอารมณ์ เห็นลัว ๆ ลาง ๆ
2. อุคคหนิมิต คือนิมิตที่ใจเรียนหรือนิมิตติดตา ได้แก่บริกรรมนิมิตที่เพ่งหรือกำหนดจนเห็นเป็นภาพติดตาติดใจ เห็นชัดเจน 100 %
3. ปฏิภาคนิมิต = นิมิตเสมือนนิมิตคู่เปรียบ ได้แก่นิมิตที่เป็นภาพเหมือนของอุคคหนิมิต แต่ลึกเข้าไปอีกจนเป็นภาพที่สามารถนึกขยายหรือย่อส่วนได้ตามปรารถนานิมิตจะเปลี่ยนจากของมีสีกลายเป็นของที่มีลักษณะใส สว่าง นุ่มนวล
ภาเวตัพพาติ = ภาวนา = ธรรมที่บัณฑิตทั้งหลายพึงทำให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และครั้งหลัง ๆ ให้ติดต่อกันเป็นนิจ จนถึงเจริญขึ้น
สัมมาอะระหัง = ทำงสิ่งที่ถูกต้องดีงาม และไกลจากสิ่งชั่วร้าย
วิธีการภาวนา
1. ภาวนาที่ศูนย์กลางกาย
2. ภาวนาคล้ายเสียงที่ละเอียดอ่อน
3. ภาวนาเรื่อยไป
4. การทำภาวนาเหมือนกับการขี่จักรยาน
5. สิ้นสุดการภาวนา
สิ่งที่จะช่วยทำให้รักษาสมาธิของเราไว้ได้
1. อาวาส ที่อยู่ ที่อาศัย ที่หลับและที่นอน
2. โคจร สถานที่ที่ควรไป
3. ภัสสะ ถ้อยคำ
4. ปุคคละ บุคคล
5. โภชนะ อาหาร
6. อุตุ ฤดู
7. อริยาบถ การเดิน นั่ง นอน
โคจร 3 ลักษณะ
1. โคจรที่ควรเข้าไปอาศัย หมายถึง กัลยาณมิตรผู้ถึงพร้อมด้วยกถาวัตถุ 10 ประการ
2. โคจรที่ควรรักษา หมายถึง มรรยาทหรืออาจาระที่ดีงามของพระภิกษุ (สำรวม)
3. โคจรที่ควรใส่ใจ หมายถึง ที่ที่ใจควรเที่ยวไป หมายถึง สติปัฏฐาน 4
3.1 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึงการตั้งสติตามเป็นกายในกายหรือกายต่าง ๆ ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียดหรือกายฝัน จนถึงกายธรรมระดับต่าง ๆ
3.2 เวทนานุปัสสนาสติปัฎฐาน หมายถึงการตั้งสติตามเห็นเวทนาในเวทนา คือความรู้สึกสุขทุก ของกายต่าง ๆที่ซ้อนกันอยู่ในกายมนุษย์นี้
3.3 จิตตานุปัสสนาสติปัฎฐาน หมายถึงการตั้งสติตามเห็นจิตในจิต คือดวงจิตของกายต่าง ๆที่ซ้อนกันอยู่ในกายมนุษย์
3.4 ธัมมานุปัสสนาสติปัฎฐาน หมายถึงการตั้งสติตามเห็นธรรมในธรรม คือดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายต่าง ๆ ตั้งแต่กายมนุษย์จนถึงกายธรรม
เขียนโดย chalalai ที่ 6/03/2551 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ความรู้-ธรรมะ
วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
วิธีการแผ่เมตตา
วิธีการแผ่เมตตาตามหลักปฏิบัติในคัมภีร์
ในการแผ่เมตตามีข้อควรปฏิบัติดังนี้
1. ละเว้นคนที่ไม่ควรนำมาเป็นอารมณ์ในการแผ่เมตตา ได้แก่
1) คนที่ไม่รัก(ไม่ชอบใจ), คนที่รักมากเป็นพิเศษ, คนที่รู้สึกเฉย ๆ ไม่รักไม่ชัง, คนที่ถึงขั้นเป็นศัตรูกัน ไม่ควรนึกแผ่เมตตาให้ก่อนบุคคลประเภทอื่น ด้วยเหตุผลคือ
คนที่ไม่เป็นที่รัก เมื่อไปนึกถึงก่อน จิตใจของผู้ปฏิบัติจะรู้สึกขุ่นหมอง ไม่สบาย
คนที่รักมากเป็นพิเศษ เมื่อนำมานึกถึงก่อน หากผู้นั้นกำลังมีความทุกข์ยากลำบากอยู่จะรู้สึกเป็นทุกข์เดือดร้อนไปด้วย
คนที่รู้สึกเฉย ๆ เมื่อไปนึกถึงก่อน จิตใจจะไม่เบิกบาน ไม่มีกำลัง
คนที่เป็นศัตรู มีเวรต่อกัน เมื่อไปนึกถึงก่อน โทสะจะเกิดนำหน้าทันที
2) คนที่มีเพศตรงข้าม โดยเฉพาะไม่ใช่ญาติสนิท ไม่ควรนึกแผ่เมตตาให้โดยเจาะจงเฉพาะตัว เพราะราคะอาจจะเกิดขึ้น
3) คนที่ตายไปแล้ว นำมาเป็นอารมณ์ในการทำสมาธิไม่ได้ เพราะไม่สามารถทำอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ให้เกิด จึงเป็นการแผ่เมตตาที่ไร้ประโยชน์
2. กำหนดคนที่ควรแผ่เมตตาให้ก่อน
1) ควรแผ่เมตตาให้ตนเองก่อน เพื่อใช้เป็นสักขีพยายานว่า ตนเองปรารถนาความสุข ทั้งการแผ่เมตตาแก่ตนเองก่อนผู้อื่น ยังทำจิตใจให้เกิดความแช่มชื่นยินดี ทั้งนี้เพราะความรักต่อสิ่งอื่น ๆ แม้จะมีมากเพียงใด ก็ไม่เหมือนความรักตนเอง
2) เมื่อแผ่เมตตาให้ตนเองเป็นสักขีพยานแล้ว จึงแผ่ให้แก่ผู้ที่รักใคร่ชอบพอนับถืออย่างธรรมดา เช่น ครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่มีคุณธรรมเทียบเท่า ที่ตนเองรักใคร่ ชอบใจ เคารพสรรเสริญ ระลึกถึงคุณงามความดีที่ได้รับจากบุคคลเหล่านั้น เช่น การที่ท่านให้ทานทั้งวิทยาทาน อามิสทาน ธรรมทานแก่ตน ตลอดจนปิยวาจาที่เคยได้รับมาต่าง ๆ
3) แผ่เมตตาถึงบุคคลที่รักยิ่ง เช่น บิดา มารดา บุตรธิดา สามีภรรยา ตามลำดับความรัก
4) แผ่เมตตาไปในบุคคลที่ไม่รู้สึกรักหรือชัง รู้สึกเฉย ๆ เป็นกลาง ๆ
5) แผ่เมตตาไปในคนที่มีเวรต่อกัน
6) เมื่อใดเมตตาจิตของผู้ปฏิบัติเกิดมีเท่าเทียมกันในบุคคลทั้ง 4 ประเภท คือ ตัวเอง คนที่ตนรัก คนที่ตนรู้สึกเฉย ๆ และคนที่โกรธกัน ดังนี้แล้ว ให้แผ่เมตตาออกเป็น 3 สถาน คือ แผ่ไม่เฉพาะ แผ่เฉพาะ และแผ่ทั้งทิศทั้ง 10 แผ่ไม่เฉพาะ ได้แก่ สัตว์ทั้งหลายที่ยังข้องอยู่ภพต่าง ฯลฯ แผ่เฉพาะ ได้แก่ หญิงทั้งหลาย ชายทั้งหลาย พระอริยเจ้าทั้งปวง เทวดาทั้งหลาย ฯลฯ แผ่ไปในทิศทั้ง 10
วิธีแผ่เมตตาแก่ตนและคนอื่น
การแผ่เมตตาแก่ตน มี 4 ประการ
อะหัง อเวโร โหมิ ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่มีศัตรู (ทั้งภายในและภายนอก)
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่มีความพยาบาท (วิตกกังวล เศร้าโศก)
อะหัง อนีโฆ โหมิ ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้ไม่มีความลำบากกาย ลำบากใจ (พ้นจากอุปัทวเหตุ)
อะหัง สุขี อัตตานัง ปริหรามิ ขอข้าพเจ้าจงความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกภัยทั้งสิ้นเถิด
การแผ่เมตตาให้ผู้อื่น มี 4 ประการ
สัพเพ สัตตา อเมรา โหนตุ
สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ
สัพเพ สัตตา อนีฆา โหนตุ
สุขี อัตตานัง ปริหรันตุ
วิธีการแผ่เมตตาตามหลักปฏิบัติ
แผ่เมตตาในขณะทำสมาธิ เราอาจใช้เวลาช่วงหนึ่งก่อนนั่งสมาธิ แผ่เมตตา เพื่อทำให้ใจชุ่มชื่น และเกิดเมตตาจิต อันจะทำให้ใจละความพยาบาท คิดร้ายที่อยู่ในใจออกไป โดยใช้วิธีการแผ่เมตตา
แผ่เมตตาจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย แผ่เมตตาจิตโดยนึกเบา ๆ ให้สบาย ๆ ว่าขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ไม่มีประมาณเหล่านั้น พ้นจากทุกข์โศกโรคภัย ให้พบแต่ความสุขกาย สุขใจ มีความสุขทั้งนั่ง ทั้งนอน ทั้งยืนทั้งเดิน ทั้งหลับ ทั้งตื่นตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดเวลาเลย ที่มีทุกข์ก็ให้พ้นทุกข์ ที่มีสุขแล้วก็ให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป นึกอย่างสบายๆ แผ่ไปให้หมดเลย นึกอย่างสบาย นึกให้กระแสแห่งความเมตตาของเรา ความปรารถนาดีของเรา เป็นแสงสว่างออกจากร่างกายเรา ออกจากใจของเราประหนึ่งว่าตัวเรา กายเรา ใจเรา เป็นศูนย์กลางของสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เราแผ่ออกไปเป็นแสงสว่าง ใหม่ ๆ อาจจะเป็นความรู้สึกว่ามีแสงสว่างออกจากภายในกลางกายเรา แล้วแผ่ขยายไปให้ทั่ว เป็นแสงที่ละเอียดอ่อนนุ่มนวล เป็นพลังมวลแห่งความบริสุทธิ์ ความปรารถนาดี ประดุจแสงสว่างแห่งพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แต่ว่ากระจ่างแจ่มจ้าเหมือนอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน คือสว่างประดุจดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน แต่ว่าเย็นเหมือนแสงจันทร์ นำความชุ่มชื่น เบิกบานให้เกิดขึ้นแก่สรรพสัตว์ สรรพสิ่งทั้งหลาย
ให้พลังมวลแห่งความบริสุทธิ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีไปยังมวลมนุษยชาติ โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนาและเผ่าพันธุ์ ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีสองเท้า สี่เท้า มีเท้ามาก มีเท้าน้อย หรือว่าไม่มีเท้า ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในกำเนิดทั้งสี่ ทั่วทั้งภพสามเลย ให้พลังมวลแห่งความบริสุทธิ์ที่ออกจากกายเรา สว่างโพลงไปรอบทิศ ทุกทิศทุกทางเหมือนเรานั่งอยู่กลางอวกาศโล่ง ๆ และขยายไปรอบทิศ
เขียนโดย chalalai ที่ 2/07/2551 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ความรู้-ธรรมะ
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
"เลิศล้ำ ถ้อยคำครู" คำสอนของพระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์
* ทำความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ
* บวชแล้วต้องสงัดจากกาม และบาปอกุศลธรรม
* ต้องเป็นพระแท้ทั้งยามตื่น หลับ ฝัน
* เรื่องอื่น เรื่องเก๊ ๆ ทั้งนั้น เรื่องจริง คือพระในตัว
* ทำตัวให้เป็นอิสระ ปลอดกังวลจากสิ่งไม่ดี (เรื่องคน สัตว์ สิ่งของ)
* รักษาเนื้อ รักษาตัวให้ดี (ดูแลสุขภาพใจเราให้ดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ สว่างไหว ฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง)
* ถ้ามัวแต่มองมุม ก็จะเห็นแต่มุม ไม่เห็นทุกด้าน แต่ถ้ามองตรงกลาง มันเห็นรอบด้าน
* ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
* มรรค4 ผล4 นิพพาน1 โสดดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล บุคคล 4 คู่ 8 บุรุษนี้ ล้วนอยู่ในตัวเราทั้งสิ้น การบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดเวลา เพราะมีอยู่แล้วภายในตัวเรา
* สมถะ แปลว่า "หยุด, นิ่ง, สงบ, ระงับ" วิปัสสนา = การเห็นวิเศษ เห็นแจ่มแจ้ง เห็นแตกต่าง สมถะกับวิปัสสนา ต้องไปพร้อม ๆ กัน
* ความเพลินภายนอก เป็นส่วนเกินของชีวิต แต่ความเพลินภายในเป็นหลักของชีวิต
* ธรรมะ จะเป็นเพื่อนตายสำหรับเรา อยู่เคียงข้างเราตลอดไป
* คิดแต่เรื่องดี ๆ พูดแต่เรื่องดี ๆ และทำแต่เรื่องดี ๆ เดี๋ยวใจจะใสเอง
* ทำจิตให้สบาย ทำใจให้สงบ ก็จะพบความสว่างภายใน
* อย่าถือสาข้อผิดพลาดของเพื่อนมนุษย์ ไม่ถือสาก็ไม่หนัก และไม่ต้องทน ให้ทำความเข้าใจว่า เขาก็เป็นของเขาอย่างนั้นเอง และเราก็เป็นเราเช่นนี้เอง เรายังมีกิเลส และดวงปัญญาเราก็ยังไม่สมบูรณ์
* คนเรื่องมากมักได้บุญน้อย คนเรื่องน้อย มักได้บุญมาก เราไม่ต้องการให้ใครมาเอาใจ แต่เราควรจะรักษาใจของเราให้ใส ๆ
* ต้องสั่งสมบุญให้มาก ๆ อย่าให้บาปตามทัน มันตามไม่ทัน เดี๋ยวก็หมดกำลังไปเอง
เขียนโดย chalalai ที่ 2/06/2551 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ความรู้-ธรรมะ